จากสถานการณ์โรคระบาด โควิด19 ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากต้นปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อสังคมโลกโดยรวมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม หลายๆ กิจกรรมทางสังคม อีเวนท์ต่างๆ ถูกยกเลิก ทำให้รูปแบบการตลาดดิจิตอลค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
อีคอมเมิร์ซและโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์ม กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนใช้เวลาด้วยมากขึ้นหลายเท่าตัว การประชุมผ่านวิดีโอกลายเป็นเรื่องปกติของยุคสมัย สิ่งเหล่านี้เองที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคเป็นอย่างมาก
แบรนด์ทั้งหลายจึงควรจับตามองกระแสทางการตลาดใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้พลาดการรักษาฐานลูกค้าเอาไว้ให้คงที่ได้ดีเช่นเดิม
1. อย่ามองข้าม! การแสดงจุดยืนของแบรนด์ที่มีต่อสังคม
จากกระแส “Black Lives Matter” ในปี 2020 ทำให้ผู้คนหันมาสนใจความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น
ลูกค้ายุคสมัยใหม่ต้องการจะเห็นแบรนด์ที่พวกเขารัก สร้างคอนเทนต์ที่แสดงความใส่ใจต่อความเท่าเทียมกันทางสังคม พวกเขาต้องการจะลบภาพแบบเดิมๆ อย่างการแบ่งแยกสีผิว เชื้อชาติ หรือศาสนาที่เราคุ้นเคยในหลายทศวรรษก่อนออกไปให้หมด
การศึกษาจาก Accenture เผยให้เห็นว่ากระแสการไม่แบ่งแยกนี้เองส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างยิ่ง
41% ของผู้ซื้อสามารถจะเปลี่ยนใจจากร้านค้าที่ไม่แสดงจุดยืนหรือการยอมรับความหลากหลาย
29% พร้อมที่จะเปลี่ยนแบรนด์ทันที หากแบรนด์เหล่านั้นไม่แสดงการยอมรับความหลากหลายที่เพียงพอ
แบรนด์ที่เพิกเฉยต่อความหลากหลายทางสังคม หรือไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างความตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนในปี 2021 ในทางกลับกัน แบรนด์ที่มีส่วนร่วมในการแสดงออกหรือแสดงจุดยืนเพื่อความเสมอภาคของทุกคน จะได้รับผลประโยชน์ทางสังคมในแง่ความรู้สึกที่เหนียวแน่นระหว่างผู้ซื้อที่มีต่อแบรนด์มากยิ่งขึ้นนั่นเอง
2. ร่วมรักษ์โลกอย่างยั่งยืน เพื่อแบรนด์ที่ยืนยาวในใจลูกค้า
เทรนด์ที่มาแรงในปี 2021 ไม่แพ้กันคือ แบรนด์ที่รับผิดชอบต่อสังคมและใส่ใจต่อความยั่งยืนของธรรมชาติ
งานวิจัยเผยว่า 80% ของลูกค้ารู้สึกว่าบริษัทหรือแบรนด์ควรมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่าในหลายปีที่ผ่านมา หลากหลายแบรนด์ได้เริ่มออกมาแสดงจุดยืนด้วยการใช้วัสดุ บรรจุภัณฑ์ หรือระบบต่างๆ ที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรโลก
ผู้บริโภคต้องการเห็นว่าแบรนด์ที่พวกเขาจ่ายเงินซื้อสินค้าไปนั้นมีความใส่ใจต่อโลกใบนี้เช่นเดียวกับที่พวกเขารู้สึกไหม? และเพื่อสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์และความจงรักภักดีต่อแบรนด์มากยิ่งขึ้น การสร้างคอนเทนต์หรือสร้างแบรนด์ให้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมจะช่วยทำให้แบรนด์ได้รับผลตอบรับที่ดีมากขึ้น
โดยอาจเลือกการแสดงออกที่เหมาะสมกับแบรนด์และสินค้าของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการโปรโมทประเด็น “Sustainability” ผ่านแบนเนอร์เว็บไซต์ การพูดถึงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย หรือจะเป็นการผลิตสินค้าจากวัสดุรียูส เป็นต้น
3. การค้นหาด้วยภาพและเสียงกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น
ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในการค้นหาด้วยเสียงอย่าง Alexa ระบบสั่งการด้วยเสียงจาก Amazon
ไม่ว่าจะเนื่องจากผู้คนมีข้อจำกัดในการสื่อสารระหว่างบุคคล หรืออาจเป็นเพราะเทคโนโลยีที่พร้อมใช้งานมากขึ้นและสะดวกสบายกว่าการนั่งพิมพ์ก็ตาม
การค้นหาด้วยภาพก็กำลังมาแรงไม่แพ้กัน เครื่องมืออย่าง Google Lens ช่วยให้ผู้บริโภคค้นหาอะไรก็ได้ที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขา
นักการตลาดจึงควรให้ความสำคัญกับรูปภาพมากยิ่งขึ้นในการทำการตลาดออนไลน์ เพราะรูปภาพพร้อมที่จะเข้ามาลงแข่งขันในเกม SEO ปีนี้ด้วยอย่างแน่นอน
โดยจากผลการสำรวจพบว่า ผู้ใช้งานที่เริ่มออกแบบเว็บไซต์ใหม่เพื่อรองรับการค้นหาทั้งภาพและเสียง ช่วยเพิ่มยอดขายออนไลน์ให้พวกเขาได้ถึง 30%
4. อะไรจะสำคัญไปกว่าประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า
คอนเทนต์ร่วมสนุกอย่าง การเล่นตอบคำถาม การทำแบบสอบถาม การจัดการประกวด การแจกของ การทำโพล ต่างๆ เหล่านี้ ช่วยให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์มากขึ้น ไม่ใช่แค่การรับสารจากแบรนด์เพื่อเพิ่มยอดการมีส่วนร่วมเพียงอย่างเดียว
คอนเทนต์ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมหรือได้รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ บ้าง ช่วยพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ได้เป็นอย่างมาก
ลูกค้าจะรู้สึกเหมือนเสียงของพวกเขาได้รับการรับฟัง หรือพวกเขาได้แสดงความคิดเห็นที่มีส่วนส่งผลต่อแบรนด์ที่พวกเขารัก ทำให้ความรู้สึกเชื่องโยงต่อแบรนด์มีมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นแบรนด์ยังได้รับประโยชน์ในการนำเอาข้อมูลของลูกค้าที่แสดงความคิดเห็นต่างๆ เหล่านี้ไปพัฒนาและปรับปรุงตัวสินค้าและบริการให้ดีมากยิ่งขึ้นได้
5. บทบาทที่มากขึ้นของไลฟ์สตรีมและอินฟลูเอนเซอร์
ผู้คนหันมาใช้วิดีโอและไลฟ์สตรีมกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนออนไลน์ การทำงานที่บ้าน การประชุมผ่านวิดีโอคอล ออนไลน์เวิคช็อป หรือแม้กระทั่งเหล่าดาราคนดัง ก็หันมาไลฟ์สดหรือทำวล็อกส่วนตัวมากขึ้น
ผลการวิจัยพบว่า ยอดชมไลฟ์เฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นสูงถึง 50% ในช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา ในขณะที่ยอดชมไลฟ์ของอินสตาแกรมสูงไปถึง 70% เลยทีเดียว ส่วนแอปพลิเคชั่นน้องใหม่อย่างติ๊กต๊อก ก็มียอดใช้งานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมากในปี 2020 และคาดว่าในปีนี้ก็จะยังคงดำเนินต่อไป
หลายแบรนด์จึงหันมาสร้างกิจกรรมผ่านช่องทางออนไลน์อย่างการไลฟ์สตรีมหรือการนำอินฟลูเอนเซอร์มาสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ที่พิเศษไปกว่านั้น ในบางไลฟ์สตรีมลูกค้าสามารถรับชมและซื้อสินค้าไปด้วยในเวลาเดียวกัน ทั้งช่วยเพิ่มยอดการมีส่วนร่วมให้กับแบรนด์ และช่วยกระตุ้นยอดขายได้อีกด้วย
สิ่งสำคัญในเทรนด์ปี 2021 นี้ คือการปรับตัวของแบรนด์ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันให้มากที่สุด และสร้างช่องทางที่จะสามารถเชื่อมโยงแบรนด์กับลูกค้าเอาไว้ให้แนบแน่นได้เหมือนเดิม
6. คอนเทนต์ที่ง่ายต่อการบริโภคกำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ
“พอดแคสต์” กลายเป็นคอนเทนต์ที่ผู้บริโภคหันมาให้ความนิยมเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2020 ด้วยเนื้อหาที่เสพง่าย ฟังง่าย เปิดทิ้งไว้แล้วสามารถทำกิจกรรมอื่นไปด้วยได้ เอื้อให้คนหันมาสนใจการรับข้อมูลวิธีนี้มากยิ่งขึ้น ส่วน “จดหมายข่าวหรือ Newsletter” ที่ส่งตรงถึงกล่องรับอีเมลล์ของผู้บริโภค ก็เป็นอีกหนึ่งคอนเทนต์ที่ง่ายต่อการบริโภค
รายงานพบว่า ชาวอเมริกัน 55% ในปัจจุบันฟังพอดแคสต์ และผู้คนให้ความสนใจต่อ Newsletter เพิ่มขึ้น 14% ในช่วงล็อกดาวน์ เหล่าเงินทุนอย่างโฆษณาจึงหันมาลงเงินไปกับพอดแคสต์มากขึ้น
ยิ่งคอนเทนต์อำนวยความสะดวกต่อผู้บริโภคในการเสพมากเท่าใด ยิ่งช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ของลูกค้ากับแบรนด์ได้มากขึ้นเท่านั้น
กลยุทธ์การตลาดในปีนี้ คงต้องมาวัดกันที่ว่าแบรนด์ไหนจะสามารถเล็งเห็นถึงโอกาสในการใช้เวลาบนโลกออนไลน์ที่มากขึ้นของผู้บริโภคให้เกิดเป็นผลลัพธ์ที่ดีมากที่สุดได้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มยอดการมีส่วนร่วม การกระตุ้นยอดขาย หรือการรักษาฐานลูกค้าให้ยังมั่นคงอยู่ได้ในช่วงวิกฤตการณ์เช่นนี้
ที่มา: Social Media Today, 99 Designs Blog
Comments